วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ชนชาติพันธุ์ในออสเตเลีย(อะบอริจิน)

 อะบอริจิน เจ้าถิ่นออสเตรเลีย (Aboriginal)

       เชื่อกันว่า บรรพบุรุษของชาวอะบอริจิน อพยพมาจากอินโดนีเซีย มาตั้งถิ่นฐานที่ทวีปออสเตรเลียเมื่อห้าพันกว่าปีที่ผ่านมา ชาวอะบอริจินอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มครอบครัวขยาย คือมีบรรพบุรุษร่วมกัน และมีขนบประเพณีที่เชื่อมโยงกันระหว่างคนและดินแดนที่อาศัย
       มีความเชื่อถือในเรื่อง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่ชาวอะบอริจินเชื่อว่า เป็นสถานที่ที่วิญญาณจะเดินทางกลับไปอยู่หลังจากตายไปแล้ว ซึ่งลูก หลาน หรือสมาชิกในครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะประกอบพิธีกรรมแสดงความเคารพ  เพื่อเป็นเกียรติแก่วิญญาณบรรพบุรุษ มีความเชื่อว่า วิญญาณของบรรพบุรุษจะคอยคุ้มครอง ปกป้องรักษาเผ่าของตนสืบไป ไม่ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติ หรือโรคภัยที่ลึกลับ
       ชาวอะบอริจินมีหลากหลายเผ่า บ้างก็ตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นหลักแหล่ง บ้างก็ดำรงชีวิตตล้ายกลุ่มชนเร่ร่อน บทบาทของฝ่ายชาย คือ การเป็นนักล่า และพิทักษ์รักษากฎหมายของฝ่ายชาย ส่วนฝ่ายหญิงจะคอยดูแล เลี้ยงดูเด็ก หุงหาอาหาร ซึ่งฝ่ายหญิงก็จะมีกฎและพิธีกรรมเฉพาะของตนเช่นกัน
       ชาวอะบอริจินรู้จักใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มต่า มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของสัตว์ และฤดูกาลของพืชชนิดต่างๆ ไม่ล่าสัตว์หรือเก็บเกี่ยวพืชผลจนถึงขนาดที่จะนำไปสู่การสูญพันธุ์ นับได้ว่าชาวอะบอริจินเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติโดยแท้ ชาวอะบอริจินยุคแรกมีการค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้าเช่นเดียวกัน บูมเมอแรงและดินเหลือง นับเป็นสินค้าที่สำคัญ ก้อนหินหรือเปลือกหอยที่หายากและมีความสำคัญทางพิธีกรรม ก็เป็นอีกอย่างที่มีการแลกเปลี่ยนกัน


ชนเผ่าพื้นเมือง ออสเตรเลีย



         เมื่อประมาณ 200 ปีมาแล้วที่คนขาวเข้ามาตั้งรกรากที่อ่าวซิดนีย์เป็นครั้งแรก มีชาวอะบอริจินอาศัยอยู่ในออสเตรเลีย กว่า 300,000 คน และมีภาษาพูดกว่า 250 ภาษา ซึ่งบางภาษาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เฉพาะในเกาะทัสมาเนียมีภาษาต่างกันถึง 8 ภาษา ขณะที่เผ่าที่เคยอาศัยอยู่สองฟากอ่าวซิดนีย์ก็ใช้ภาษาที่แตกต่างกัน สื่อสารไม่เป็นที่เข้าใจซึ่งกันและกัน จากสภาพสังคมเช่นนี้ทำให้การประสานงานเพื่อตอบโต้ลัทธิจักรวรรดินิยมของชาติตะวันตกย่อมเป็นไปได้ยาก ฉะนั้นชาวยุโรปที่เดินทางมาถึง จึงขนานนามดินแดนแห่งนี้ว่า “Terra Nullius” หมายถึง ดินแดนที่ไร้ผู้คน ไม่ใยดีกับการอาศัยอยู่ของชาวอะบิริจินแม้แต่น้อย มองว่าชาวอะบอริจินไม่มีระบบการปกครองที่เด่นชัด ไม่มีระบบตลาด ไม่มีการตั้งถิ่นฐานถาวร และไม่มีหลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของที่ดิน ดังนั้นเมื่อฟิลิปส์ ผู้สำเร็จราชการแทนกษัตริย์อังกฤษ เชิญธงชาติอังกฤษขึ้นสู่ยอดเสาที่อ่าวซิดนีย์เมื่อปี ค.ศ.1788 กฎหมายของอังกฤษก็ได้กลายมาเป็นกฎหมายที่ใข้ในการปกครองชาวอะบอริจินทั่วทวีปออสเครเลีย  และนับแต่นั้น ที่ดินในออสเตรเลียก็กลายเป็นทรัพย์สินของราชวงศ์อังกฤษ ชาวอะบอริจินกลายเป็นผู้ถูกขับไล่ เนื่องจากไม่มีเอกสารสิทธิเหนือดินแดนที่ตนอาศัยอยู่ บ้างถูกใช้กำลังขับไล่ บ้างเสียชีวิตด้วยโรคร้ายจากแดนไกล บ้างสมัครใจทื้งถิ่นฐานของตนเดินทางออกไปสู่รอบนอก มีหลายคนที่ลุกฮือต่อต้านการเข้ามาของพวกผิวขาว อาทิเช่น Pemulwy, Yagan, Dundalli, Pigeon และNemaruk แม้ว่าการตั้งถิ่นฐานในบางพื้นที่จะถูกขับไล่ แต่ผลของการต่อต้านเหล่านั้นก็เป็นได้เพียงการยืดระยะเวลาออกไปเท่านั้น


       ช่วงทศวรรษที่ 1900 ได้ที่การผ่านกฎหมายเพื่อการแยกและ ปกป้องชาวอะบอริจินในทุกรัฐ กฎหมายดังกล่าวเน้นที่การจำกัดสิทธิในการครอบครองที่ดิน และรับจ้างงานของชาวอะบอริจิน                 กฎหมาย Aboriginals Ordinance ที่ประกาศใช้ในปี ค.ศ.1918 ถึงขนาดให้สิทธิรัฐในการแยกลูกจากแม่ชาวอะบอริจิน หากมีข้อสงสัยว่าพ่อของเด็กไม่ใช่ชาวอะบอริจิน ในกรณีเช่นนี้ผู้ปกครองจะไม่มีสิทธิเหนือลูกของตน เด้กจะถูกส่งไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กโดยเฉพาะ    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น การดูดกลืนได้กลายมาเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล
สิทธิของชาวอะบอริจินก็ยิ่งถูกริดรอนมากขึ้น รัฐบาลเข้ามาควบคุมในทุกๆด้าน ในปีคศ. 1960
ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายดูดกลืนเป็นอย่างมาก




ชาวออสเตรเลียผิวขาวจำนวนมากเริ่มตระหนักถึงความไม่เท่าเทียมกัน ที่เลือกปฏิบัติต่อชาวอะบอริจิน ในปี ค.ศ.1967  ชาวออสเตรเลียที่ไม่ใช่ชาวอะบอริจินได้ร่วมกันลงคะแนนสนับสนุนให้มีการให้สถานภาพความเป็นพลเมืองแก่ชาวอะบอริจินและคนพื้นเมืองของหมู่เกาะในช่องแคบ Torres  และให้อำนาจแก่รัฐบาลของเครือจักรภพในการออกกฎหมายดังกล่าวในทุกรัฐ โดยรัฐจะต้องให้บริการแก่ชาวอะบอริจิน
เช่นเดียวกับพลเมืองอื่นๆทุกประการในปี ค.ศ.1972 นโยบายดูดกลืนถูกทดแทนด้วยนโยบายของรัฐที่เปิดโอกาสเป็นครั้งแรกให้ชาวอะบอริจินมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ในปี ค.ศ.1992 ศาลสูงได้ออกประกาศชื่อ Mabo Ruling  ให้การรับรองว่าชาวอะบอริจินมีสิทธิที่จะอ้างความเป็นเจ้าของเหนือดินแดน
ที่อยู่ภายใต้การครอบครองของราชวงศ์อังกฤษมาโดยต่อเนื่อง ต่อมาในปี ค.ศ.1993รัฐบาลสาธารณรัฐได้นำประกาศดังกล่าวม่ปฏิบัติโดยการออกกฎหมาย Native Title ภายใต้การยอมรับของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อรองเหนือดินแดนระหว่างชาวอะบอริจินกับกลุ่มอื่นอย่างยุติธรรมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย.


ขอขอบคุณที่มาจาก : http://plan-travel.com/tour/australia/Aboriginal.html


วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

4 วิธีดูแลความงาม ด้วยเกลือป่น

คุณอาจคาดไม่ถึงว่าเกลือที่คุณใช้ปรุงอาหารอยู่ทุกวันนั้น ก็สามารถช่วยดูแลความงามให้คุณได้ด้วย ยังไงน่ะเหรอ? นี่คือรายละเอียด

 ช่วยทำให้ผิวนุ่มขึ้น
เกลือนอกจากจะทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึกและเป็นตัวต่อต้านเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติแล้ว ยังช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปได้ด้วย โดยใช้เกลือผงประมาณหนึ่งกำมือนวดเบาๆ เป็นแนววงกลมลงบนผิว แล้วล้างน้ำออก


ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้เส้นผม
คุณอาจสังเกตเห็นว่าเวลาไปเที่ยวทะเลแล้วเส้นผมมักจะอยู่ทรงสวย นั่นก็เพราะเกลือในน้ำทะเลจับตัวอยู่บนเส้นผม ทำให้เส้นผมมีน้ำหนักและอยู่ทรงได้ คุณสามารถมีผมสวยอย่างนั้นโดยไม่ต้องลงทะเลได้ โดยผสมเกลือผงหนึ่งช้อนโต๊ะเข้ากับน้ำสะอาดหนึ่งถ้วย คนให้เข้ากันแล้วเทลงในขวดสเปรย์ จากนั้นก็ฉีดลงบนเส้นผมในขณะแต่ทรง แล้วปล่อยให้แห้งเองตามธรรมชาติ


ขจัดความมันเยิ้ม
ในการทำให้ผิวที่เป็นมันเยิ้มดูไม่เป็นเงา รวมทั้งทำให้ทุกสภาพผิวดูมีชีวิตชีวาขึ้นนั้น ก็ผสมเกลือครึ่งช้อนชาเข้ากับคลีนเซอร์ที่คุณใช้ล้างหน้าตามปกติ จากนั้นก็นวดลงบนผิวหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด


ทำความสะอาดล้ำลึก
คุณสามารถทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก ด้วยการผสมแครอทสับละเอียด ¼ ถ้วย เกลือผง ½ ช้อนชา และมายองเนส 1 ½ ช้อนชา แล้วตีให้เข้ากัน จากนั้น นำมาทาลงบนใบหน้าที่ยังชื้นๆ อยู่ ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างน้ำออก


นางสาว น้ำฝน  ยอดพายุ  ชั้น ม. 5/6 เลขที่ 13
อาหารญี่ปุ่น

ความลับ ทำไมคนญี่ปุ่นถึงอายุยืนที่สุดในโลก (อ.ส.ม.ท.)
          หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ประเทศญี่ปุ่น” เป็นชาติที่มีอายุขัยยืนยาวมากที่สุดในโลก ซึ่งนี่ถือเป็นการครองแชมป์มากกว่า 20 ปี แล้ว โดยมีอายุเฉลี่ยเกิน 100 ปี มากกว่า 20,000 คน เลยทีเดียว และเมื่อแยกย่อยลงไปในรายละเอียดต่างๆ จะพบว่าสุขภาพร่างกายของคนญี่ปุ่นมีคอเลสเตอรอลต่ำ ไม่ค่อยเป็นโรคอ้วนกับโรคหัวใจ

          นี่เองที่ทำให้ใครต่อใครต่างอยากรู้คล็ดลับว่าทำไม “คนญี่ปุ่นถึงมีสุขภาพที่ดีได้ กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารญี่ปุ่นชาวอังกฤษคนหนึ่ง ได้มีการทำสำรวจเกี่ยวกับอายุขัยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเทียบวิเคราะห์ถึงเหตุผลและปัจจัยอันเกี่ยวกับอายุขัยที่ยืนยาวของคนญี่ปุ่นว่า”

         -  เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีคอเลสเตอรอลต่ำ?

         -  เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีอัตราการตายจากโรคหัวใจต่ำ?

         -  และเพราะอะไรสุขภาพของคนญี่ปุ่นถึงเป็นแบบนี้ได้?

          กระทั่งพบ “ความลับ” ว่า “อาหารญี่ปุ่น” คือตัวช่วยเสริมสุขภาพคนญี่ปุ่นให้ไม่มีปัญหาจากโรคภัยที่กล่าวมาได้ทั้งหมด อาหารที่ว่า เช่น ปลาดิบ - ซุปมิโซะ – เต้าหู้ – สาหร่ายคอมบุ (จากน้ำอุ่น) สาหร่ายโนริ (จากน้ำเย็น) เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่มีคอเลสเตอรอลต่ำ ปราศจากไขมันอิ่มตัว มีไอโอดีนและแร่ธาตุสูงมาก อีกทั้งยังมีอนุมูลเล็กๆ ที่ช่วยเสริมสุขภาพให้ดี ช่วยให้อาหารอร่อยยิ่งขึ้นด้วย

          และเมื่อเจาะจงข้อมูลลงไปในพื้นที่ประเทศญี่ปุ่น ยังมีสิ่งที่น่าสนใจนั่นคือ พบว่า คนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่บนเกาะโอกินาวา อัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ น้อยกว่า ส่วนอื่นในพื้นที่ของประเทศญี่ป่นและประเทศอื่นๆ ทั้วโลก

          นั่นเพราะ ชาวโอกานาวา มีการบริโภคน้ำตาล 25% เกลือ 20% และรับประทานผักเป็น 3 เท่า รับประทานปลามากกว่าเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งมีโอเมก้า 3 ที่สำคัญต่อโครงสร้างการทำงานของสมอง เสริมสร้างระบบประสาท ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และ ไตรเอซิลกลีเซอรอลในพลาสมา ควบคุมระดับไลโปโปรตีน และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหน้าองค์ประกอบของเกล็ดเลือด ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจ โรคไขมันในเส้นเลือด และโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกัน โรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ ที่ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย

          “อาหารทะเล” จึงเป็นเสมือนยาอายุวัฒนะ หรืออาหารวัคซีน ที่ช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ซึ่งทำให้ชาวโอกานาวา มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง



นางสาว น้ำฝน ยอดพายุ ชั้น ม.5/6  เลขที่ 13

Beauty tips

สารพัน Beauty tips
สารพัน Beauty tips… (อ.ส.ม.ท.)

 เคล็ดลับเลือกยาทาเล็บ

         สาวผิวขาวอมเหลืองควรเลือกยาทาเล็บสีชมพูอมส้ม สีน้ำตาลทอง หรือสีสดๆเพราะจะทำให้มือดูอ่อนเยาว์ไม่ซีด

 เคล็ดลับผมเงางาม

          ผสมน้ำผึ้งและน้ำมันมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมผมทิ้งไว้ 3-5 นาทีแล้วล้างออกเพียงแค่นี้ผมก็เป็นเงางามสวยได้

 สดใสมีเลือดฝาดด้วยเบียร์สด

          ปั่นเบียร์สดครึ่งถ้วย น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ และไข่ไก่ 2 ฟอง เข้าด้วยกัน และพอกหน้าไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก แค่นี้ใบหน้าของคุณก็จะมีสีเลือดฝาด

 สูตรแก้ผมแตกปลาย

          นำน้ำตะไคร้สดชโลมผมและนวดทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดเพียงเท่านี้ก็จะมีผมเงางามและยังแก้ผมแตกปลายได้อีกด้วย

 สครับริมฝีปาก

          ส่วนผสม  น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาวเล็กน้อย 

          วิธีใช้ ขัดริมฝีปากเบาแล้วก็ล้างออกเพียงแค่นี้ก็มีริมฝีปากที่สดใสเรียบเนียนไม่เป็นขุย

 สูตรลบเลือนรอยกระ          เริ่มจากปั่นเนื้อว่านหางจระเข้ นมสด น้ำผึ้ง น้ำมันงาและดินสอพองคนด้วยกันจนข้น นำมาขัดผิวหน้า ขณะอาบน้ำ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น แค่นี้รอยผิวกระก็จางลงได้แล้ว


นางสาว น้ำฝน ยอดพายุ ชั้น ม. 5/6 เลขที่ 13

นักแม่นปืนก้องโลก

วันนี้ขอเอาใจบรรดา ผู้ที่ชื่นชอบการยิงปืนโดยเฉพาะพลซุ่มยิง ซึ่งผมขอยิบยกประวัติของพลซุ่มยิงที่ว่ากันว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้
 
 
ไซโม ฮายาซ (17 ธันวาคม 1905-1 เมษายน 2002) ได้รับฉายาจากกองทัพโซเวียตว่า "White Death"=ไวท์ เดธ) เรียกเป็นภาษาไทยได้อย่างเท่ๆว่า "ความตายสีขาว" (ในภาษารัสเซียเรียกว่า Belaya Smert=เบลาย่า สเมิร์ท,ภาษาฟินแลนด์เรียกว่า Valkoinen kuolema=วาลคอยเน็น คูโอเลม่า) เขาเป็นทหารฟินแลนด์ที่ในปัจจุบันยังถกเถียงกันว่าเขาคือพลซุ่มยิงที่ยิ่ง ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ใช่หรือไม่?
ฮายาซเกิดในเขตเทศบาลเลาซ์จาไว(municipality of Rautjarvi) ซึ่งปัจจุบันเป็นชายแดนของรัสเซียไปแล้ว เขาได้เข้าเป็นทหารในกองทัพเมื่อปี 1925 โดยก่อนหน้านี้เขามีอาชีพเป็นชาวนาหรือเกษตรกร เมื่อสงครามฤดูหนาว(Winter War) ซึ่งเกิดขึ้นจากรัสเซียได้ทำการรุกรานฟินแลนด์ตั้งแต่ปี1939-1940 เริ่มขึ้น เขาก็ได้รับหน้าที่ให้เป็นพลซุ่มยิงเพื่อสังหารทหารกองทัพแดง ในภูมิประเทศที่มีอุณหภูมิหนาวตั้งแต่ -20 ถึง-40องศาเซลเซียล (วัดเป็นองศาฟาเรนไฮต์ก็จะอยู่ที่ระหว่าง -4ถึง-40องศา) โดยฮายาซใส่ชุดพรางหิมะสีขาว เขามียอดสังหารทหารโซเวียตที่ได้รับการยืนยันถึง 542ศพ!



สถิตินี้มาจากกองทัพฟินแลนด์จากสนามรบที่โคลา (battlefield of Kollaa)ซึ่งเป็นสถานที่ฮายาซสามารถสังหารข้าศึกได้เป็นจำนวนมากถึง 542ศพ จากสมุดบันทึกที่โคลาได้กล่าวไว้ว่า "ฮายาซใช้ปืนยาวเอ็ม 28 (Finnish Mosin nagant M28 rifle) ซึ่งเป็นปืนที่ฟินแลนด์ลอกแบบมาจากปืนยาวแบบโมซินนากังค์ของรัสเซีย (Soviet Mosin nagant rifle) รู้จักกันในหมู่ทหารฟินแลนด์ว่า ปืนยาว"พีสตี้คอร์ว่า"("Pystykorva") ซึ่งหมายถึงสุนัขพันธ์สปิทส์(spitz) ฮายาซเป็นคนที่มีรูปร่างเล็กคือมีความสูง 5ฟุต3นิ้ว(1.60เมตร ฝรั่งเขาถือว่าเตื้ยนะ) เขาชอบใช้ศูนย์เล็งเหล็กมาตรฐานของปืน(iron sights) สำหรับยิงเป้าขนาดเล็ก(smaller target) มากกว่าสูนย์แบบกล้องเล็ง(telescopic sights) สาเหตุมาจากเวลาเขาจะใช้กล้องเล็งจะต้องยกศรีษะสูงขึ้น และเขายังบอกว่าการใช้ศูนย์เล็งแบบเปิดนี้จะช่วยปกปิดที่ตั้งของตนเองได้ดี กว่าศูนย์แบบกล้องเล็ง (แสงอาทิตย์ที่ส่องใส่เลนส์ของศูนย์กล้องจะสะท้อนแสงทำให้ถูกพบที่ตั้งของพลซุ่มยิงได้)
นอกจากเขาจะใช้ปืนยาวในการซุ่มยิงศัตรูแล้ว ฮายาซยังใช้ปืนกลมือซูโอมิ เอ็ม31อันโด่งดังของฟินแลนด์ยิงสังหารทหารรัสเซียไปเป็นจำนวนมากถึงสองร้อยกว่าศพ! ทำให้ยอดสังหารข้าศึกของเขาเพิ่มเป็นถึง 705ศพ!(ยิ่ง เทพเข้าไปใหญ่คนรึเปล่าเนี่ย?) หลังจากทำหน้าที่ในสนามรบมาเป็นเวลากว่า100วัน เขาก็ถูกกระสุนปืนใส่บาดเจ็บ เฉลี่ยแล้วในวันๆหนึ่งเขาจะสังหารศัตรูไป 5ศพ ส่วนใหญ่ฮายาซจะซุ่มยิงตอนกลางวันในฤดูหนาวแทบจะทุกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกกว่าพลซุ่มยิงคนอื่นๆของโลก 



ก่อนที่ฮายาซจะได้รับบาดเจ็บฝ่ายรัสเซียมีแผนที่จะกำจัดเขาให้ได้ ด้วยการใช้พลซุ่มยิง เรียกว่าพลซุ่มยิงก็ต้องจัดการด้วยพลซุ่มยิง(counter snipers=เคาน์เตอร์สไตรค์ เอ้ย! เคาน์เตอร์ สไนเปอร์)เรียกแบบไทยก็คือเพขรตัดเพชรหรือตาต่อต่าฟันต่อฟัน หรืออีกวิธีที่ขี้ขลาดหน่อยก็คือใช้ปืนใหญ่ยิงถล่ม(artillery strikes=อาร์ทิเลอะลี่ สไตรค์) โดยปืนใหญ่รัสเซียชอบใช้กระสุนปืนใหญ่แบบแตกกลางอากาศ(shrapnel=ชรัปเนล) ที่จะระเบิดกลางอากาศแล้วปล่อยลูกเหล็กกลมก้อนเล็กๆพุ่งลงมาเป็นสายฝน โดยโซเวียตน่าจะส่งทหารมาล่อให้ฮายาซยิงเพื่อที่จะได้ทราบตำแหน่งของเขาแล้ว จัดการยิงปืนใหญ่ถล่มใส่ซะ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถเก็บฮายาซได้ แถมเขาก็ไม่เคยโดนกระสุนแบบนี้เลยเรียกว่าไร้รอยแมวข่วน(เทพอีกละ) ส่วนสไนเปอร์ที่ส่งมาเก็บเขาก็ถูกฮายาซเก็บซะเอง
พอถึงวันที่ 6 มีนาคม ปี1940 ฮายาซก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บอีกคราวนี้โดนยิงที่ขากรรไกร(jaw=จอ ถ้าคิดไม่ออกว่าตรงไหนก็ให้คิดถึงหนังเรื่องจอ 4ไว้นะครับ) ระหว่างการต่อสู้ในระยะใกล้(close combat) กระสุนพุ่งเข้าไปในหัวด้านซ้ายของเขา ฮายาซถูกหามออกจากสนามรบโดยทหารที่หามเขากล่าวว่า "หัวของเขาหายไปครึ่งหนึ่ง" ฮายาซกลับมาได้สติเอาอีกทีก็วันที่ 13 มีนาคม(หมดสติไปตั้ง 7วันเชียวนะเนี่ย) ซึ่งพอเขาตื่นมาก็เป็นวันที่ฟินแลนด์กับรัสเซียได้ประกาศสงบศึกกันพอดี หลังจากสงครามสิ้นสุดได้ไม่นานเขาก็ได้รับการเลื่อนยศจากสิบโท(corporal) เป็นร้อยตรี(second lieutenant)
หลายท่านคงจะคิดว่าอะไรมันจะเลื่อนยศแบบก้าวกระโดดขนาดนั้นเนอะ ผมว่าสงสัยน่าเป็นเพราะผลงานที่เทพสุดๆของเขาชัวร์ๆ โดยฮายาซได้รับยศนี้ จากจอมพล คาร์ล กุฟตาฟ อีมิล แมนเนอร์ไฮม่(Field Marshal Carl Gustaf Emil Mannerheim) จอมพลผู้โด่งดังของฟินแลนด์ผู้บัญชาการป้องกันประเทศ และชื่อของเขาก็ถูกตั้งชื่อเป็นแนวป้องกันประเทศนั้นคือแนวแมนเนอร์ไฮม์นั้น เอง (Mannerheim Line=แมนเนอร์ไฮม์ ไลน์) ทำให้ฮายาซนับเป็นทหารคนแรกของกองทัพฟินแลนด์ ที่ได้ยศแบบข้ามขั้นขนาดนี้โดยที่ไม่มีทหารคนไหนจะเสมอเหมือนได้ 



ฮายาซใช้ชีวิตหลังสงครามในการรักษาอาการบาดเจ็บหลายครั้ง จากกระสุนของทหารโซเวียตที่เจาะขากรรไกรและเข้าไปฝังในแก้มข้างซ้ายของเขา หลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงเขาก็หวนกลับไปสู่วิถีชีวิตแบบเดิม คือกลับไปจับปืนเหมือนเดิมแต่ที่แตกต่างจากแต่ก่อนก็คือเขาไม่ได้ยิงคน แต่กลายเป็นนายพรานล่ากวางมูซชั้นเยี่ยม(successful moose hunter=ซัคเสดฟูล มูซ ฮันเตอร์) ก็คนมันเคยเทพนี่หน่าทำไงได้ นอกจากนี้เขายังเป็นคนเพาะพันธ์สุนัข(dog breeder=ด็อก บรีดเดอร์)อีกด้วย
จากการสอบถามฮายาซในปี 1998 ว่าทำยังไงถึงยิงปืนได้แม่น?เขาก็ตอบว่า"มันอยู่ที่การฝึกฝน"(Practice) เมื่อถามว่าเขารู้สึกเสียใจไหมที่ได้เข่นฆ่าผู้คนไปเป็นจำนวนมาก?(คราวนี้ ถามอย่างกับกากSF) เขาก็ตอบว่า"ผมทำตามคำสั่งและทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" ("I did what I was told to as well as I could.") แปลถูกไม่ถูกก็ช่วยๆบอกกันบ้างนะครับ ฮายาซใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆชื่อโรคอลาซติ(Ruokolahti) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ซึ่งถัดไปเป็นดินแดนของรัสเซียจนเสียชีวิต อยู่ที่หมู่บ้านนี้นั้นเอง เป็นการปิดฉากชีวิตของเพชรฆาตผู้สังหารทหารรัสเซียไปเป็นจำนวนมากลงอย่างสงบ


นางสาว น้ำฝน ยอดพายุ ชั้น ม. 5/6  เลขที่13

ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า.......

พอดีผมเห็น "ไอ่สะกิด" มันมีบทความดีๆ มาให้อ่าน ชื่อบทความ ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า…  ผมก็เลยขอหยิบยกเรื่องนี้มาให้พวกเราชาวโพสจังอ่านดูบ้างครับ

.. ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุด ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ..

.. ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต

ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป ที่จะทำให้สิ่งที่ตนฝัน ..

.. คนที่ไม่เคยหิว ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม

ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ..

.. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
เหตุผลขอคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน
อีกคนนึง ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า
ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..

.. คนเรา ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น ที่ได้ทำ ..

หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า

อย่าลืมว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีค่าในตัวของมันเอง ถ้าเรามองไม่เห็นเองแล้ว ก็ไม่มีใครมองเห็นหรอกครับ ทางเดินของชีวิตยาวไกลนัก ถ้าเรารู้จักเรียนรู้ ใช้งาน รู้คุณค่าของสิ่งดีๆที่มีอยู่ ในตัวของเรา ใช้มันอย่างถูกต้อง มีคุณค่า เราก็จะไม่เสียดายสิ่งดีๆที่เราได้เดินผ่านมา จงใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าให้มากที่สุดครับ



นางสาว น้ำฝน ยอดพายุ ชั้น ม. 5/6 เลขที่ 13

เทคนิคการจำ ต้องเริ่มตั้งแต่การรับข้อมูล

"บางสิ่งที่อยากจำเรากลับลืม บางสิ่งที่อยากลืมเรากลับจำ


คนเรานี้คิดให้ดีก็น่าขัน อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ"

เป็นท่อนฮุกของบทเพลงของ เดอะฮอท เปปเปอร์ ซิงเกอร์
นักร้องสาวดูโอที่เคยโด่งดังมากในอดีตเมื่อสมัยดิฉันเป็นวัยรุ่น
เชื่อว่าหลายๆ ท่านก็เคยโดนใจและเห็นด้วยกับประโยคที่ว่านั่นกันมาบ้างแล้ว


ตอนฟังบทเพลงๆ นั้นยังจำได้ว่าเห็นด้วยและชื่นชอบจัง
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ "จำ" บทเพลงนั้นได้จนถึงทุกวันนี้

เพียงแต่วันนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมคนเราอยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ...!!
เพราะมันเกี่ยวข้องกับสมองโดยตรงของเรานั่นเอง
สมองคนเรามีความจำแบบไหน ?
แบบที่มีการจำอัตโนมัติ มีทั้งการจำผ่านการท่องซ้ำๆ
และมีการจำแบบมีเรื่องราว เหตุการณ์ รวมถึงจำแบบมีการเชื่อมโยง

ส่วนเรื่องที่คนเรามักจะจดจำมีเรื่องอะไร แบ่งคร่าวๆ
ในเรื่องหลักๆ ได้ดังนี้
- จำภาษา คำพูด
- จำบุคคล สถานที่ ตัวเลข
- จำเหตุการณ์เรื่องราว

แต่...ก่อนที่คนเราจะเกิดความจำขึ้นมาได้ ต้องมีการรับข้อมูลต่างๆ ก่อน

เริ่มจากเมื่อมีข้อมูลผ่านเข้ามาในสมอง
ข้อมูลจะถูกส่งไปที่สมองส่วนกลาง (ธาลามัส)
ซึ่งทำหน้าที่เป็นโอเปอร์เรเตอร์ในสมอง
และจะคอยส่งข้อมูลไปยังสมองส่วนต่างๆ เช่น ถ้ามองเห็นภาพ
ก็จะส่งไปยังสมองส่วนรับภาพ และถ้าเป็นการฟัง
ก็จะส่งต่อไปยังส่วนการรับฟัง ฯลฯ

และเมื่อกระบวนการส่งข้อมูลถูกต้องครบถ้วน
สมองที่ทำหน้าที่หลักเกี่ยวกับความจำคือ ฮิปโปแคมปัส และอะมิกดาลา
จะรับช่วงต่อว่าจะจัดการข้อมูลนั้นๆ อย่างไร

ถ้าข้อมูลที่เป็นเรื่องราวปกติ
ฮิปโปแคมปัสจะเก็บไว้จนกว่าจะถูกลำเลียงเข้าไปอยู่ในความทรงจำระยะยาวบริเวณ
สมองส่วนหน้า และจัดเข้าไปอย่างเป็นระเบียบเพื่อจะนำไปใช้ในอนาคต

แต่ถ้าเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เป็นหน้าที่ของอะมิกดาลา

ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) อยู่ลึกเข้าไปในสมองส่วนขมับ
ทำหน้าที่จัดกระบวนความรู้ที่ปรากฏจริงรอบๆ ตัวเรา
มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดเก็บข้อมูลจากความทรงจำระยะสั้น
เข้าไปเก็บไว้ระบบ ความทรงจำระยะยาว
ซึ่งเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ที่จะนำไปใช้ตลอดชีวิต

การจัดเก็บความทรงจำในเด็กอายุก่อน 10 ปี จะเกิดขึ้นในขณะเด็กหลับ
จึงเป็นเหตุผลว่าเด็กควรได้นอนเต็มที่อย่างน้อย 9-10 ชั่วโมงต่อวัน

อะมิกดาลา (Amygdala) อยู่บริเวณสมองส่วนกลาง
เป็นศูนย์กลางของอารมณ์ โดยเฉพาะความรู้สึกพื้นฐาน เช่น ความกลัว
ความก้าวร้าว ทำหน้าที่จัดระบบด้วยความรู้สึก

ในช่วงวัยรุ่นจะใช้สมองส่วนนี้มาก
จึงไม่แปลกถ้าวัยรุ่นจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล

และนั่นหมายรวมไปถึงว่า เหตุใดเวลามีเรื่องราวประทับใจ
หรือมีเรื่องเศร้ากระทบกระเทือนจิตใจ เราจึงสามารถจดจำได้ดี
ก็เพราะสมองส่วนนี้ทำงานนั่นเอง

ฉะนั้น การที่จะทำให้เด็กมีความจำที่ดี
พ่อแม่ต้องเข้าใจก่อนว่ามีส่วนสัมพันธ์กับสมอง เด็กจะมีความจำดีได้
ต้องเริ่มจากการรับข้อมูล และมีกระบวนการเรียนรู้เบื้องต้นที่ดีก่อน

และ...การรับข้อมูลที่ดีที่สุด คือ รับผ่านประสาทสัมผัส

การเรียนรู้จะเกิดได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อมีการใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ
เพื่อให้เซลล์ประสาทในสมองรับความรู้สึกต่างๆ ทั้งการมองเห็นภาพ
ได้ยินเสียง รับรู้กลิ่น ได้รับความรู้สึกทางผิวหนัง
ความรู้สึกที่ได้รับจะถูกส่งไปยังเซลล์ประสาทที่อยู่ในสมอง

เมื่อสมองทำการกรองจัดลำดับความสำคัญแล้วก็จะถูกบันทึกไปยังส่วนความจำ

ฉะนั้น การให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสอย่างสม่ำเสมอ
ด้วยอารมณ์และความรู้สึกในขณะที่เรียนรู้เป็นด้านบวก
ก็จะยิ่งทำให้ความทรงจำที่ดีเข้าไปประทับอยู่ในสมองเด็กมากขึ้น

ยิ่งถ้าวัยขวบปีแรก
เด็กได้รับการรับข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสในด้านบวกอย่างสม่ำเสมอ
ก็จะทำให้เด็กทีแนวโน้มมีความจำที่ดีเมื่อโตขึ้น

การมีความจำที่ดี
นอกจากผู้ใหญ่ต้องส่งเสริมให้เด็กได้ประสบการณ์ต่างๆ แล้ว
ยังต้องขึ้นกับสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ด้วย
เด็กควรได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์อย่างเพียงพอเหมาะกับวัย
และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้
รวมถึงสภาวะจิตใจที่พร้อมด้วย

แต่ปัญหาส่วนใหญ่ของคนเป็นพ่อแม่ที่มีลูกเล็กมักจะมีคำถามเรื่องความ
จำที่เอนไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเรียนเป็นส่วนใหญ่ เช่น
ลูกเรียนหนังสือแล้วมักจำไม่ค่อยได้ ต้องท่องจำซ้ำๆ บ่อยๆ
ทั้งที่ในความเป็นจริงต้องฝึกเรื่องการจำโดยการรับข้อมูลตั้งแต่วัยทารก
ไม่ใช่ฝึกเมื่อตอนเข้าโรงเรียน

ที่ สำคัญ คนเป็นพ่อแม่ต้องเข้าใจด้วยว่า
เด็กบางคนเรียนวิชาท่องจำ ทำได้ดี
ในขณะที่เด็กบางคนไม่ถนัดเรื่องการท่องจำ แต่ชอบเรื่องการทำความเข้าใจ
ก็เพราะมีความแตกต่างในเรื่องของสมอง แต่ถ้าเด็กบางคน
ขยันหมั่นท่องจำบ่อยๆ ซ้ำๆ ท้ายสุดก็สามารถจำได้

และนั่นหมายความว่า
ต้องกลับไปดูตั้งแต่การรับข้อมูลของเด็กด้วยว่า เป็นอย่างไร
แล้วเหตุใดต้องมีเทคนิคเกี่ยวกับความจำ
โดยสังเกตดูว่าลูกเราเรามีความถนัดในเรื่องใด
การจะเสริมให้ลูกมีความจำที่ดีก็สามารถทำได้

เทคนิคเสริมสร้างความจำให้ลูก ?

หนึ่ง - ให้ลูกรับข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสให้ได้มากที่สุด
และเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้

สอง - ฝึกฝนการจำแบบท่องจำ เพราะบางเรื่องราวต้องอาศัยการท่องจำ
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน โดยเฉพาะบรรดาสูตรต่างๆ
ที่ต้องอาศัยการท่องจำซ้ำๆ บ่อยๆ

สาม - ฝึกให้ลูกจดจำเรื่องราวเป็นเหตุการณ์
จะทำให้จดจำง่ายกว่าการจำเป็นท่อนๆ
แต่ให้จำด้วยเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ เช่น "ลูกจำได้ไหม
เราเคยไปในสถานที่นี้ด้วยกัน แล้วตอนนั้นลูกทำอะไรนะ
ที่ทำให้ลูกได้ขนมเป็นรางวัล"

ข้อนี้อาจจะต้องใส่รายละเอียดให้จดจำเรื่องราวดีๆ ในทางบวก
จะช่วยกระตุ้นความจำได้ดีขึ้น

สี่ - จำแบบซับซ้อนมากขึ้น ด้วยการสังเกตว่าลูกถนัดในเรื่องใด
เช่น ลูกจำตัวเลขเก่ง ก็พยายามเชื่อมโยงเรื่องราวนั้นๆ ด้วยตัวเลข
ก็จะทำให้ลูกจดจำเรื่องนั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้น

การสอนให้ลูกมีความจำที่ดี ต้องเริ่มสร้างตั้งแต่เล็ก
เพราะเป็นการช่วยกระตุ้นสมองแห่งการเรียนรู้ของลูก
โดยจะเชื่อมต่อมาจากการรับรู้ ถ้าการรับรู้ในเบื้องต้นดีแล้ว
กระบวนการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงไปสู่สมองก็จะเป็นระเบียบ
และทำให้เด็กสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

จริงๆ เรื่องสอนให้ลูกมีความจำที่ดีไม่ใช่เรื่องยาก

เรื่องที่ยากกว่าคือเรื่องที่อยากลบบางเรื่องราวออกจากสมองต่างหาก
ที่ยากกว่า จริงไหมคะ..!!

สารพัดโรคที่มาจากการอดนอน

มีงานวิจัยที่ทดลองให้อาสาสมัครหนุ่มสาวนอนวันละ 4 ชม. ถึง 6 คืนด้วยกัน จากนั้นก็ทำการเจาะเลือดเพื่อหาระดับน้ำตาล ผลปรากฏว่า มีระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูง ควบคุมได้ยาก และมีลักษณะคล้ายกับอาการของโรคเบาหวาน ...

 



     - การอดนอนยังส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนเลปติน ซึ่งเป็นการที่สื่อต่อระบบประสาทว่า ควรจะอิ่ม ได้เร็วหรือช้าเท่าใดตามความต้องการอาหารของร่างกาย เมื่อระดับเลปตินลดลง ระดับของความอยากอาหารจะเพิ่มขึ้นทั้งๆ ที่ทานอาหารจนได้รับพลังงานที่เพียงพอแล้วก็ตาม

- การนอนไม่พอยังส่งผลต่อเม็ดเลือดขาวและกลไกการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เจ็บป่วยง่ายเมื่อเจอเชื้อโรค

- นอกจากนี้นักวิจัยยังพบอีกด้วยว่า การอดนอนเป็นสาเหตุของโรคอ้วนอีกเช่นกัน โดยเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเร่งการเติบโต ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญเติบโตทางกายภาพและควบคุมสัดส่วนของไขมันต่อกล้ามเนื้อในร่างกาย การอดนอนทำให้ฮอร์โมนชนิดนี้หลั่งน้อยลง ทำให้อยากอาหารมากขึ้น...

- การอดนอนมากๆ อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งต่างๆ ได้ ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อ ... แต่ที่เป็นอย่างนั้นได้เพราะ เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ มันจะไปส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้ทำงานแปรปรวน เนื่องจากการอดนอนและแสงรบกวนในเวลากลางคืน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเพราะฉะนั้น นอกจากจะต้องนอนให้เพียงพอแล้ว เรายังไม่ควรเปิดไฟนอนอีกด้วย

ไม่ใช่แค่สารพัดโรคที่ส่งผลมาจากการอดนอนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีผลข้างเคียงที่เห็นอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็น ใบหน้าทรุดโทรมหมองคล้ำ ร่างกายไม่ตื่นตัว ปวดหัวระหว่างวัน หรือแม้แต่ทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ แต่เราสามารถป้องกันได้โดยการอย่าอดนอนโดยไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตามในช่วงที่เกิดวิกฤติน้ำท่วมแบบนี้ทำให้หลายคนต้องอดนอนเพราะเป็นห่วงบ้านและทรัพย์สิ้นจะหายรวมไปถึงบางคนอาจจะกำลังขนย้ายของเพื่อหนีน้ำที่กำลังจะล้นทะลักเข้าบ้าน จึงทำให้ไม่นอน ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้ทุกคนควรทำใจให้สบายแล้วผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปพร้อมๆกันค่ะ

นางสาว น้ำฝน ยอดพายุ ชั้น ม.5/6 เลขที่13

ฝึกทักษะให้สมอง

หากคุณนึกไม่ออกว่าลืมแว่นตาไว้ที่ไหน หรือนึกชื่อเพื่อนร่วมงานคนใหม่ไม่ได้ แพทย์หญิงแซลดี เอส. ทัน ผู้อำนวยการศูนย์โรคความจำโรงพยาบาลเบทอิสราเอล ดีโคเนส อธิบายว่า การหลงลืมในลักษณะนี้เป็นเครื่องบ่งบอกว่าชีวิตของเรานั้นยุ่งเหยิงเกินไปจนขาดความใส่ใจ ความจำจึงไม่แม่นยำ อีกทั้งยังมีปัญหาในการย้อนนึก

แฮร์รี โลเรน ผู้เขียนหนังสือ จำแม่นในทุกอายุ: เคล็ดลับง่ายๆที่ช่วยให้สมองไม่แก่ แนะนำว่าควรฝึกสมองให้มีความพร้อมอยู่เสมอ เราพยายามออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรง แต่ถ้าสมองทำงานบกพร่อง ร่างกายที่แข็งแรงก็คงไร้ประโยชน์ บางคนใช้วิธีจดบันทึกอย่างเป็นระเบียบ หรือบันทึกในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น แบล็กเบอรี โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาอย่างพีดีเอ แต่ในยามที่ไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้หรือต้องการฝึกสมอง คุณอาจต้องพึ่งเคล็ดลับช่วยจำจากผู้เชี่ยวชาญดังต่อไปนี้

ฝึกสมอง #1 เขาชื่ออะไรกันแน่

ให้ความสนใจ เมื่อได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่ จงตั้งใจฟังชื่อให้ดี แล้วสร้างภาพตัวสะกดชื่อของเขา หรือถามไปว่า ชื่อ วิรัตน์สะกดด้วย ช. ช้าง หรือ ตน์ ครับ จากนั้นพยายามผูกชื่อเข้ากับเรื่องราวเพื่อให้จำแม่นยิ่งขึ้น (ชื่อวิรัตน์เหมือนกับครูประจำชั้นสมัยมัธยมปลาย) เอ่ยชื่อเพื่อนบ่อยๆขณะสนทนาและก่อนล่ำลา

สร้างภาพจากชื่อ สำหรับชื่อที่จำยาก (เช่น อภิชยมณี) จงพยายามทำให้มีความหมาย เวลาพูดถึงชื่ออภิชยมณี ให้นึกถึงพระอภัยมณี และนึกภาพไปด้วย จากนั้นมองหาลักษณะเด่นของคนคนนั้น (คิ้วหนา จมูกโต) แล้วสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชื่อกับใบหน้า หากอภิชยมณีมีจมูกโต อาจลองนึกภาพพระอภัยมณีนั่งเป่าปี่บนจมูกของเขา การสร้างเรื่องตลกจะช่วยให้จำแม่นขึ้น

สร้างภาพที่น่าจดจำ ลองนึกภาพนายชัยวัฒน์ อินทนนท์ตระกูลยืนอยู่บนยอดดอยอินทนนท์ ดร. กินี เกรแฮม สกอต ผู้เขียนหนังสือ เพิ่มพลังความจำภายใน 30 วัน แนะว่า หากต้องการจำชื่อนางปทุมรัตน์ บัวสอนดี ประธานบริษัทสถาปนิก ให้ลองนึกภาพเธอกำลังถอนสายบัวทำความเคารพอยู่หน้าอาคารหลังใหญ่

แอบโกงเล็กน้อย เคล็ดลับข้อนี้จะดูเป็นรูปธรรมมากขึ้น เมื่อคุณได้รับนามบัตรจากเพื่อนใหม่ ให้แอบจดข้อมูลบางอย่างไว้ด้านหลัง (สวมแว่นกรอบทอง บ้านอยู่ที่รามอินทรา) เพื่อช่วยเตือนความจำ
ฝึกสมอง #2 ฉันลืมแว่นตาไว้มุมไหนของโลก

พูดเตือนตัวเอง ดร. สกอตแนะนำให้ใส่ใจกับเหตุการณ์ขณะวางแว่นตาลงบนโต๊ะและพูดเตือนตัวเอง อย่างเช่น ฉันใส่กุญแจในกระเป๋าเสื้อคลุม การพูดย้ำทำให้เกิดความจำที่ชัดเจน

ฝึกให้เป็นนิสัย หาตะกร้าใบเล็กวาง บนมุมโต๊ะ ฝึกตัวเองให้วางกุญแจ แว่นตา โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือสิ่งของที่ใช้บ่อย (หรือลืมบ่อย) ในตะกร้าใบนี้ทุกครั้ง

ฝึกสมอง #3  วันนี้ฉันต้องทำอะไรบ้าง

เล่นกับความคุ้นเคย แครอล วอร์เดอร์แมน ผู้เขียนหนังสือ สมองมหัศจรรย์: 101 วิธีฝึกสมองให้เฉียบแหลมยิ่งขึ้น แนะว่า หากต้องการเตือนตนเองให้ทำกิจวัตรเดิมๆที่คุ้นเคย (เช่น เขียนบัตรอวยพร นำเสื้อไปส่งร้านซักรีด) ควรใช้วิธีเตือนที่แปลกไปจากเหตุการณ์ปกติ หากนำใบแจ้งหนี้มาวางไว้บนโต๊ะเช่นทุกครั้ง คุณก็มักจะลืมไว้ตรงนั้นและพลาดชำระหนี้ในที่สุด แต่ถ้านำกุญแจรถยนต์หรือผลไม้มาวางทับไว้ เมื่อสังเกตเห็นข้าวของอยู่ผิดตำแหน่ง คุณจะนึกได้เองว่าต้องนำใบแจ้งหนี้ไปชำระเงิน

ร้องเป็นเพลง หากต้องจดจำรายการหลายอย่าง (เช่น รายการซื้อของ หมายเลขโทรศัพท์ สิ่งที่ต้องทำในวันนั้น) วอร์เดอร์แมนแนะให้นำมาร้องเป็นเพลงที่คุ้นเคย เช่น เพลงสุขสันต์วันเกิด หรือเพลงของเด็กอนุบาล

หาเครื่องช่วยจำ ใช้วิธีสร้างประโยคที่จำง่าย หรือใช้ตัวย่อ เช่น สีทั้งเจ็ดของรุ้งกินน้ำคือ แม่คนนี้ขาวเหลืองสวยดี (ม. ค. น. ข. ล. ส. ด. เท่ากับม่วง, คราม, น้ำเงิน, เขียว, เหลือง, แสด, แดง)

ใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ หากต้องการจดจำรายการซื้อของ หรือสิ่งที่ต้องทำโดยไม่ใช้กระดาษกับปากกา ดร. สกอตแนะให้ใช้อวัยวะในร่างกายเป็นเครื่องช่วยจำ เริ่มจากเท้าขึ้นมาจนถึงศีรษะ หากรายการซื้อของประกอบด้วยกาว, อาหารแมว, บรอกโคลี, เนื้อไก่, องุ่น และแปรงสีฟัน ให้ลองสร้างภาพขึ้นในใจว่าเท้าของคุณเหยียบติดกาว มีแมวเกาะบนหัวเข่าร้องหาอาหาร บร็อกโคลีงอกออกมาจากกระเป๋ากางเกง เนื้อไก่ติดอยู่กับสะดือ พวงองุ่นห้อยอยู่บนหน้าอก และปากคาบแปรงสีฟัน

วิธีแบบโรมัน ดร.สกอตแนะให้ใช้ วิธีห้องโรมันซึ่งเป็นการสร้างความเกี่ยวข้องระหว่างรายการซื้อของหรือสิ่งที่ต้องทำกับสิ่งของในห้องที่คุ้นเคย ที่ทำงาน หรือเส้นทางไปทำงาน การสร้างภาพความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดจะช่วยให้จดจำแม่นขึ้น เช่น ลูกแอปเปิลห้อยมาจากโคมไฟระเบียง ธัญพืชอบกรอบกระจายอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ฟองแชมพูลอยอยู่เต็มห้องครัว และมีเนยแข็งอยู่บนเตียง

ฝึกสมอง #4  รหัสผ่านของเว็บไซต์นี้คืออะไร

สร้างภาพจากตัวเลข จินตนาการภาพตามรูปร่างของตัวเลข 0 คือลูกบอล หรือแหวน, 1 ปากกา, 2 หงส์, 3 กุญแจรัดข้อมือ, 4 เรือใบ, 5 หญิงตั้งครรภ์, 6 กล้องยาสูบ, 7 บูมเมอร์แรง, 8 ตุ๊กตาหิมะ และ 9 ไม้เทนนิส หากรหัสบัตรเงินสดของคุณคือตัวเลข 4298 ให้ลองนึกภาพว่าคุณอยู่บนเรือใบ (4) มีหงส์ (2) ตรงเข้ามาทำร้าย คุณจึงตีมันด้วยไม้เทนนิส (9) แล้วเสกให้เป็นตุ๊กตาหิมะ (8) รับรองได้ว่าภาพแบบนี้ลืมยาก

คำพ้องเสียง หากคำที่พ้องเสียง กับตัวเลขตั้งแต่ 1 ถึง 9 (เป็ด หมายถึง 7, จิ้งจก หมายถึง 6) จากนั้นให้สร้างเรื่อง-ราวจากคำพ้องเสียง เช่น พี่ (4) ของฉันกินเป็ด (7) เพื่อฉลอง (2) ที่ได้ลูกแฝด (8)

ฝึกสมอง #5  คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้น

ฝึกท่องพยัญชนะ ก ข ค... หากคุณนึกชื่อภาพยนตร์ไม่ออก ให้ท่องพยัญชนะ (ออกเสียงหรือท่องในใจ) ตามลำดับ เมื่อถึงอักษร ส ชื่อของภาพยนตร์ สุริโยทัย จะถูกกระตุ้นขึ้นมาในความคิดของคุณโดยอัตโนมัติ เคล็ดลับข้อนี้ใช้ได้ดีในห้องสอบเช่นกัน

ฝึกสมอง #6  ฉันจำเรื่องราวต่างๆไม่ได้เลย

จงอ่าน พูด เขียน (หรือพิมพ์) และฟัง หากคุณต้องการจดจำเรื่องราวหรือปาฐกถาต่างๆ จงอ่านหรือพิมพ์เนื้อเรื่องในคอมพิวเตอร์ ขั้นต่อไป ให้อ่านออกเสียงดังๆและบันทึกไว้ แล้วเปิดฟังซ้ำวันละหลายรอบ ขณะคุณท่องจำ อย่าลืมปิดโทรทัศน์ ถอดหูฟังเครื่องเล่นเอ็มพี3 และปิดคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างสมาธิ

ใช้สี ใช้ปากกาสีขีดเส้นใต้ หรือวงข้อความสำคัญต่างๆที่อยากเน้นเป็นพิเศษ (เนื้อหาที่ขีดเส้นใต้สีแดงมักทำให้คุณจำแม่นกว่าตัวอักษรทั่วไป)

สร้างแผนที่ สร้างภาพสี่แยกในใจ โดย นำข้อความ คำพูด หรือตัวเลขที่จะช่วยเตือนความจำใส่ไว้ตามมุมถนน

น.ส. น้ำฝน  ยอดพายุ ชั้น ม.5/6  เลขที่13

อื้อฮือ! "ส้วม" ทองคำ ( ม.5/6 เลขที่ 18)

อื้อฮือ! "ส้วม" ทองคำ


ฮ่องกงมีการสร้างส้วมทองคำ โดยส้วมนี้ ทำด้วยทองคำแท้ 24 กะรัต สุกอร่ามไปทั้งห้อง ไม่ว่าจะเป็นโถส้วม อ่างล้างมือ แปรงขัดส้วม ที่แขวนกระดาษทิชชู กรอบกระจก โคมไฟแชนเดอเลีย ฯลฯ 





ห้องสุขาทองคำที่ว่านี้ เปิดให้ชมมาตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.2001 โน่น ไม่รู้ว่าป่านนี้ยังอยู่ดีหรือเปล่าเป็นห้องส้วมที่จัดสร้างขึ้นในร้านจิวเวลรี่ชื่อ 3D-Gold ในฮ่องกง ของนายลัม ไซ-วิง หนุ่มจีนแผ่นดินใหญ่วัย 45ปี ที่อพยพเข้าไปอยู่ในฮ่องกงตั้งแต่อายุ 22 และทำมาค้าขายเกี่ยวเรื่องเพชรๆ พลอยๆ ของสวยงามจนกระทั่งตั้งร้านจิวเวลรี่ของตัวเองได้สำเร็จร่ำรวยสมปรารถนา

นายลัมมีจินตนาการตั้งแต่วัยเด็กว่า ถ้าหากเขาร่ำรวยขึ้นมาสักวันหนึ่ง จะขอสร้างห้องส้วมทองคำให้ตัวเองสักหลัง เพราะเขาเกิดประทับใจกับคำพูดของ วลาดิมีร์ เลนิน ผู้นำการปฏิวัติสังคมนิยมในรัสเซียเมื่อปี ค.ศ.1921 ที่ว่า สังคมปฏิวัติน่าจะสร้าง “ส้วมทองคำ” ขึ้นมาสักแห่งเพื่อเตือนความทรงจำของมนุษยชาติให้เห็นถึงขยะอันน่าชิงชังรังเกียจของลัทธิทุนนิยม

ส้วมทองคำแห่งนี้เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างอื้ออึง เพราะทำด้วยทองคำแท้ 24 กะรัต สุกอร่ามไปทั้งห้อง ไม่ว่าจะเป็นโถส้วม อ่างล้างมือ แปรงขัดส้วม ที่แขวนกระดาษทิชชู กรอบกระจก โคมไฟแชนเดอเลีย แม้กระทั่งเพดาน ผนังห้อง พื้นกระเบื้อง และบานประตูก็ปูและกรุด้วยทองคำแท้ๆ เฉพาะเพดานส้วมนั้นยังฝังเพชรพลอยจำพวก ทับทิบ ไพลิน มรกต และอำพัน ส่องประกายมลังเมลือง จำนวนถึง 6,200 เม็ด

โถงหน้าห้องน้ำออกแบบเป็นสไตล์โรมัน และที่พื้นห้องฝังทองคำแท่งหนักราว 2 ปอนด์ไว้บนกระเบื้องแต่ละแผ่น สุกอร่ามไปทั้งร้าน มูลค่าเหนาะๆ ของห้องส้วมแห่งนี้ประมาณ 38 ล้านเหรียญฮ่องกง แต่ก็คุ้มแสนคุ้มเพราะลูกค้าแห่แหนกันเข้ามาเยี่ยมชมอย่างล้นหลาม จนต้องจัดคิวเข้าดูตลอดวันและโทรทัศน์ CNN ยังมาถ่ายทำข่าวออกเผยแพร่ไปทั่วโลก ดังระเบิด

ผลพลอยได้ที่นายลัมรับเหนาะๆ ทันทีคือเงินทองไหลมาเทมาจากการขายสินค้าในร้าน เนื่องจากลูกค้าที่ต้องการสัมผัสโถส้วมทองคำให้เป็นบุญก้นสักครั้งต้องซื้อของในร้านมูลค่าตั้งแต่ 138 ดอลล่าร์ หรือ 1,000 เหรียญฮ่องกง ขึ้นไปจึงจะได้เข้าไปใช้ส้วมหลังนี้ โดยมีเงื่อนไขว่าลูกค้าทุกคนต้องถอดรองเท้าเสียก่อนจึงจะผ่านเข้าไปได้ ไม่เช่นนั้นแล้วพื้นห้องน้ำทองคำอาจบอบช้ำถลอกปอกเปิกจากส้นรองเท้าได้

อ้างอิง