วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นักแม่นปืนก้องโลก

วันนี้ขอเอาใจบรรดา ผู้ที่ชื่นชอบการยิงปืนโดยเฉพาะพลซุ่มยิง ซึ่งผมขอยิบยกประวัติของพลซุ่มยิงที่ว่ากันว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้
 
 
ไซโม ฮายาซ (17 ธันวาคม 1905-1 เมษายน 2002) ได้รับฉายาจากกองทัพโซเวียตว่า "White Death"=ไวท์ เดธ) เรียกเป็นภาษาไทยได้อย่างเท่ๆว่า "ความตายสีขาว" (ในภาษารัสเซียเรียกว่า Belaya Smert=เบลาย่า สเมิร์ท,ภาษาฟินแลนด์เรียกว่า Valkoinen kuolema=วาลคอยเน็น คูโอเลม่า) เขาเป็นทหารฟินแลนด์ที่ในปัจจุบันยังถกเถียงกันว่าเขาคือพลซุ่มยิงที่ยิ่ง ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ใช่หรือไม่?
ฮายาซเกิดในเขตเทศบาลเลาซ์จาไว(municipality of Rautjarvi) ซึ่งปัจจุบันเป็นชายแดนของรัสเซียไปแล้ว เขาได้เข้าเป็นทหารในกองทัพเมื่อปี 1925 โดยก่อนหน้านี้เขามีอาชีพเป็นชาวนาหรือเกษตรกร เมื่อสงครามฤดูหนาว(Winter War) ซึ่งเกิดขึ้นจากรัสเซียได้ทำการรุกรานฟินแลนด์ตั้งแต่ปี1939-1940 เริ่มขึ้น เขาก็ได้รับหน้าที่ให้เป็นพลซุ่มยิงเพื่อสังหารทหารกองทัพแดง ในภูมิประเทศที่มีอุณหภูมิหนาวตั้งแต่ -20 ถึง-40องศาเซลเซียล (วัดเป็นองศาฟาเรนไฮต์ก็จะอยู่ที่ระหว่าง -4ถึง-40องศา) โดยฮายาซใส่ชุดพรางหิมะสีขาว เขามียอดสังหารทหารโซเวียตที่ได้รับการยืนยันถึง 542ศพ!



สถิตินี้มาจากกองทัพฟินแลนด์จากสนามรบที่โคลา (battlefield of Kollaa)ซึ่งเป็นสถานที่ฮายาซสามารถสังหารข้าศึกได้เป็นจำนวนมากถึง 542ศพ จากสมุดบันทึกที่โคลาได้กล่าวไว้ว่า "ฮายาซใช้ปืนยาวเอ็ม 28 (Finnish Mosin nagant M28 rifle) ซึ่งเป็นปืนที่ฟินแลนด์ลอกแบบมาจากปืนยาวแบบโมซินนากังค์ของรัสเซีย (Soviet Mosin nagant rifle) รู้จักกันในหมู่ทหารฟินแลนด์ว่า ปืนยาว"พีสตี้คอร์ว่า"("Pystykorva") ซึ่งหมายถึงสุนัขพันธ์สปิทส์(spitz) ฮายาซเป็นคนที่มีรูปร่างเล็กคือมีความสูง 5ฟุต3นิ้ว(1.60เมตร ฝรั่งเขาถือว่าเตื้ยนะ) เขาชอบใช้ศูนย์เล็งเหล็กมาตรฐานของปืน(iron sights) สำหรับยิงเป้าขนาดเล็ก(smaller target) มากกว่าสูนย์แบบกล้องเล็ง(telescopic sights) สาเหตุมาจากเวลาเขาจะใช้กล้องเล็งจะต้องยกศรีษะสูงขึ้น และเขายังบอกว่าการใช้ศูนย์เล็งแบบเปิดนี้จะช่วยปกปิดที่ตั้งของตนเองได้ดี กว่าศูนย์แบบกล้องเล็ง (แสงอาทิตย์ที่ส่องใส่เลนส์ของศูนย์กล้องจะสะท้อนแสงทำให้ถูกพบที่ตั้งของพลซุ่มยิงได้)
นอกจากเขาจะใช้ปืนยาวในการซุ่มยิงศัตรูแล้ว ฮายาซยังใช้ปืนกลมือซูโอมิ เอ็ม31อันโด่งดังของฟินแลนด์ยิงสังหารทหารรัสเซียไปเป็นจำนวนมากถึงสองร้อยกว่าศพ! ทำให้ยอดสังหารข้าศึกของเขาเพิ่มเป็นถึง 705ศพ!(ยิ่ง เทพเข้าไปใหญ่คนรึเปล่าเนี่ย?) หลังจากทำหน้าที่ในสนามรบมาเป็นเวลากว่า100วัน เขาก็ถูกกระสุนปืนใส่บาดเจ็บ เฉลี่ยแล้วในวันๆหนึ่งเขาจะสังหารศัตรูไป 5ศพ ส่วนใหญ่ฮายาซจะซุ่มยิงตอนกลางวันในฤดูหนาวแทบจะทุกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกกว่าพลซุ่มยิงคนอื่นๆของโลก 



ก่อนที่ฮายาซจะได้รับบาดเจ็บฝ่ายรัสเซียมีแผนที่จะกำจัดเขาให้ได้ ด้วยการใช้พลซุ่มยิง เรียกว่าพลซุ่มยิงก็ต้องจัดการด้วยพลซุ่มยิง(counter snipers=เคาน์เตอร์สไตรค์ เอ้ย! เคาน์เตอร์ สไนเปอร์)เรียกแบบไทยก็คือเพขรตัดเพชรหรือตาต่อต่าฟันต่อฟัน หรืออีกวิธีที่ขี้ขลาดหน่อยก็คือใช้ปืนใหญ่ยิงถล่ม(artillery strikes=อาร์ทิเลอะลี่ สไตรค์) โดยปืนใหญ่รัสเซียชอบใช้กระสุนปืนใหญ่แบบแตกกลางอากาศ(shrapnel=ชรัปเนล) ที่จะระเบิดกลางอากาศแล้วปล่อยลูกเหล็กกลมก้อนเล็กๆพุ่งลงมาเป็นสายฝน โดยโซเวียตน่าจะส่งทหารมาล่อให้ฮายาซยิงเพื่อที่จะได้ทราบตำแหน่งของเขาแล้ว จัดการยิงปืนใหญ่ถล่มใส่ซะ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถเก็บฮายาซได้ แถมเขาก็ไม่เคยโดนกระสุนแบบนี้เลยเรียกว่าไร้รอยแมวข่วน(เทพอีกละ) ส่วนสไนเปอร์ที่ส่งมาเก็บเขาก็ถูกฮายาซเก็บซะเอง
พอถึงวันที่ 6 มีนาคม ปี1940 ฮายาซก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บอีกคราวนี้โดนยิงที่ขากรรไกร(jaw=จอ ถ้าคิดไม่ออกว่าตรงไหนก็ให้คิดถึงหนังเรื่องจอ 4ไว้นะครับ) ระหว่างการต่อสู้ในระยะใกล้(close combat) กระสุนพุ่งเข้าไปในหัวด้านซ้ายของเขา ฮายาซถูกหามออกจากสนามรบโดยทหารที่หามเขากล่าวว่า "หัวของเขาหายไปครึ่งหนึ่ง" ฮายาซกลับมาได้สติเอาอีกทีก็วันที่ 13 มีนาคม(หมดสติไปตั้ง 7วันเชียวนะเนี่ย) ซึ่งพอเขาตื่นมาก็เป็นวันที่ฟินแลนด์กับรัสเซียได้ประกาศสงบศึกกันพอดี หลังจากสงครามสิ้นสุดได้ไม่นานเขาก็ได้รับการเลื่อนยศจากสิบโท(corporal) เป็นร้อยตรี(second lieutenant)
หลายท่านคงจะคิดว่าอะไรมันจะเลื่อนยศแบบก้าวกระโดดขนาดนั้นเนอะ ผมว่าสงสัยน่าเป็นเพราะผลงานที่เทพสุดๆของเขาชัวร์ๆ โดยฮายาซได้รับยศนี้ จากจอมพล คาร์ล กุฟตาฟ อีมิล แมนเนอร์ไฮม่(Field Marshal Carl Gustaf Emil Mannerheim) จอมพลผู้โด่งดังของฟินแลนด์ผู้บัญชาการป้องกันประเทศ และชื่อของเขาก็ถูกตั้งชื่อเป็นแนวป้องกันประเทศนั้นคือแนวแมนเนอร์ไฮม์นั้น เอง (Mannerheim Line=แมนเนอร์ไฮม์ ไลน์) ทำให้ฮายาซนับเป็นทหารคนแรกของกองทัพฟินแลนด์ ที่ได้ยศแบบข้ามขั้นขนาดนี้โดยที่ไม่มีทหารคนไหนจะเสมอเหมือนได้ 



ฮายาซใช้ชีวิตหลังสงครามในการรักษาอาการบาดเจ็บหลายครั้ง จากกระสุนของทหารโซเวียตที่เจาะขากรรไกรและเข้าไปฝังในแก้มข้างซ้ายของเขา หลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงเขาก็หวนกลับไปสู่วิถีชีวิตแบบเดิม คือกลับไปจับปืนเหมือนเดิมแต่ที่แตกต่างจากแต่ก่อนก็คือเขาไม่ได้ยิงคน แต่กลายเป็นนายพรานล่ากวางมูซชั้นเยี่ยม(successful moose hunter=ซัคเสดฟูล มูซ ฮันเตอร์) ก็คนมันเคยเทพนี่หน่าทำไงได้ นอกจากนี้เขายังเป็นคนเพาะพันธ์สุนัข(dog breeder=ด็อก บรีดเดอร์)อีกด้วย
จากการสอบถามฮายาซในปี 1998 ว่าทำยังไงถึงยิงปืนได้แม่น?เขาก็ตอบว่า"มันอยู่ที่การฝึกฝน"(Practice) เมื่อถามว่าเขารู้สึกเสียใจไหมที่ได้เข่นฆ่าผู้คนไปเป็นจำนวนมาก?(คราวนี้ ถามอย่างกับกากSF) เขาก็ตอบว่า"ผมทำตามคำสั่งและทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" ("I did what I was told to as well as I could.") แปลถูกไม่ถูกก็ช่วยๆบอกกันบ้างนะครับ ฮายาซใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆชื่อโรคอลาซติ(Ruokolahti) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ซึ่งถัดไปเป็นดินแดนของรัสเซียจนเสียชีวิต อยู่ที่หมู่บ้านนี้นั้นเอง เป็นการปิดฉากชีวิตของเพชรฆาตผู้สังหารทหารรัสเซียไปเป็นจำนวนมากลงอย่างสงบ


นางสาว น้ำฝน ยอดพายุ ชั้น ม. 5/6  เลขที่13

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น